top of page
執筆者の写真SHIF

2020 ปีที่เหมือนอยู่บนรถไฟเหาะของเรา



ในปี 2020 คงจะเป็นปีที่หนักหน่วงสำหรับใครหลายคน

ซึ่งสำหรับเราเองก็เช่นกัน มีเรื่องที่ได้เรียนรู้มากมายในปีนี้

ทั้งเรื่องงาน การใช้ชีวิต เรื่องเงิน ความรัก มิตรภาพ การเปลี่ยนแปลง

หลายสิ่งหลายอย่างเยอะมากจนไม่ทันตั้งตัว


ม.ค.

เป็นเดือนที่ปกติที่สุดในปีนี้แล้ว

เราใช้ชีวิตพนักงานบริษัทตามปกติ โดยที่ยังมีจิตใจที่ห่อเหี่ยวและเศร้า

เพราะเพื่อนร่วมงานที่รักโดน lay off ไปเมื่อตอนสิ้นเดือนพ.ย.เกินครึ่ง

ทำให้เราเริ่มตัดสินใจหางานใหม่ไปในตัวด้วย

บวกกับงานฟรีแลนส์ที่เข้ามาเยอะจนเราคิดจะเปิดบริษัทตัวเองในช่วงกลางปีนี้

ขออยู่เก็บเงินที่บริษัทนี้อีกซักพัก ตั้งใจไว้แบบนั้น

แล้วทุกอย่างก็มาเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้..


ก.พ.

เป็นเดือนที่ยุ่งมากที่สุดในชีวิตแล้ว

ได้ไปหลายที่มาก แทบจะไม่ได้อยู่โตเกียวเลย

เรารับงานเยอะเกินไปจนเราฝืนตัวเองทุกวัน ทุกวัน

แทบไม่ได้นอน หยิบมือถือขึ้นมาก็มีแต่เมลล์งาน ไลน์งาน

เราชอบทำงานก็จริง แต่ทำเยอะติดต่อกันมาหลายปี

ตลอดทุกเวลาที่ตื่น

จนถึงจุดอิ่มตัว อยากมีเวลาพักหายใจบ้าง

เป็นเดือนที่หายใจไม่ออก แค่ตื่นมาก็เหมือนมีภูเขามาทับ

ถอนหายใจตลอดเวลา จนเรารู้สึกเหมือนทำงานจนใกล้จะตายครั้งแรก

หายใจไม่ออก ปวดหัว ปวดหู ตาพร่า

แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ด้วยดีเมื่อเห็นเเงินในบัญชี ผ่างงงงงง



มี.ค.

แล้วก็มาถึงเดือนแห่งการเปลี่ยนแปลง

ทั้งเรื่องงาน ความรัก สถานะความเป็นอยู่ เงินในกระเป๋า

โควิด ทำให้บริษัทเราไปต่อไม่ไหว

ปลดแผนกเราออกก่อน 100% เรารู้มาตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้ว

ว่าเราคงจะต้องจากบริษัทออกไวกว่าที่ตั้งใจไว้

เรารู้สึกโล่งมาที่ได้ออกจากบริษัทนี้

เราได้มิตรภาพดีๆจากบริษัทนี้มากมาย ได้เรียนรู้งานมากมาย

ใครจะรู้ว่าแค่เด็กที่ชอบเขียนไดอารี่ตอนเด็กจะได้โอกาสเขียนบทความในบริษัทนี้

แค่เด็กที่ชอบเล่นโฟโต้ชอป กับแต่งไดอารี่กับ hi5 ในตอนเด็ก

จะได้ใช้สกิล HTML และดีไซน์ในงานนี้

งานวิดีโอที่อยากลองทำแต่ไม่เคยได้ลองเลย

ก็ได้ลองพิสูจน์ตัวเองที่บริษัทนี้ ได้เห็นวิดีโอที่ตัวเองตัดเองมีกระแสตอบรับที่ดี

ได้เรียนรู้วิธีการจัดแจงงบโฆษณา และอื่นๆ หลายอย่าง

ทุกการเรียนรู้ตอนเด็กมาจนถึงปัจจุบันมันไม่มีคำว่าสูญเปล่าเลย


และความตั้งใจที่จะเปิดบริษัทก็จบลง

เพราะสถานการณ์โควิดก็พังทุกอย่างลง

แต่เรากลับไม่เสียใจหรือผิดหวังไรเลยนะ

กลับโล่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร

อาจจะเพราะเราเหนื่อยมามากแล้ว อยากตั้งหลักก่อน

กลับรู้สึกว่ามีโอกาสใหม่ที่รอเราอยู่ในอีกรูปแบบ


แล้วก็เป็นเดือนที่เราก็มีความรักครั้งแรกในรอบ2ปี

เป็นรักที่ซับซ้อนกว่าที่หลายคนจะเข้าใจ

แต่เรารู้ว่ามันเกิดขึ้นแล้วก็พยายามจะควบคุมมันแล้ว

แต่เราก็ห้ามความรู้สึกตัวเองที่เก็บมาตลอด 2 ปีไม่ได้


เม.ย.

เริ่ม WFH และทำงานเดือนสุดท้าย

เป็นเดือนที่เราเริ่มมีวันหยุดแบบไม่มีสิ้นสุด

ปกติพอถึงวันหยุดจะต้องนั่งนับว่าหยุดได้กี่ชม. กี่วันก่อนเริ่มงานถัดไป

ต้องเตรียมอะไรบ้าง ยุ่งมาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานมา 6 ปี

เพิ่งเคยได้หยุดยาวๆ แบบนี้ โดยที่สมองไม่ต้องคิดอะไรในรอบ 6 ปี

รู้สึกดีใจที่ในที่สุดในพักร่าง แต่

เราก็เริ่มรวนและรู้สึกไม่สบายใจ

แล้วรายได้ครั้งถัดไปจะมาเมื่อไหร่?

จะพอจ่ายค่าใช้จ่ายตายตัวไหม?

จะใช้ชีวิตแบบนี้ได้ถึงเมื่อไหร่?

บางวันก็อยู่ๆ เป็นบ้าลุกขึ้นมาวิ่ง9โลแล้วก็กลับมาห้อง

ให้ตัวเองได้ปลดปล่อย ให้ทุกอย่างเบาลงทั้งสมองและจิตใจ


เราฝันวนไปวนมาว่าเราด่าประธานบริษัท

เราฝันเห็นเพื่อนร่วมงานที่ทำงานกันอย่างมีความสุขเกือบทุกวัน

เราโกรธบริษัทมากหลายอย่าง


บวกกับพอดีช่วงไทยปิดประเทศเพราะโคโรน่า

เพื่อนเราที่อยู่ในญี่ปุ่นกลับประเทศไม่ได้ มาอาศัยอยู่กับเราตลอดเกือบทั้งเดือน

จะว่าเป็นการได้ใช้ชีวิตกับคนอื่นครั้งแรกก็ว่าได้

ทุกวันใช้ชีวิตแบบปาร์ตี้ลืมเครียด เพื่อนมากักตัวที่ห้องหลายๆคน

เล่นเกมกันจนดึก ทำอาหารกินกัน เต้นกัน สนุกทุกวันเลย ไม่เหงาเลย

การปรับตัวเข้ากับคนอื่นสำหรับเราไม่ใช่เรื่องยาก

แต่ยากเสมอเมื่อหลังจากชินกับอะไรแล้ว

ต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่า

เรารู้สึกว่างเปล่า แล้วหลุมในใจเราก็ใหญ่ขึ้นอีก

เมื่อทุกอย่างหายไปทั้งการใช้ชีวิตกับเพื่อนและงานฟรีแลนส์ที่โดนบอกยกเลิกทั้งหมด

เราเริ่มได้ยินเสียงของอีกคนในตัวเองมาเรียกหาอีกครั้งในรอบสองปี


ส่วนด้านความรัก เราแฮปปี้มาก มากจนกลัว

กลัวจะหายไปด้วย คราวนี้เราจะเสียสูญกว่าเดิม

แต่ยังมีเรื่องนี้มาช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่ ขอบคุณนะ


พ.ค.

เป็นเดือนที่เราได้เรียนรู้วิธีการทำเรื่องคนตกงาน

และใช้ชีวิตแบบเป็นผู้เป็นคน สกิลทำอาหารสูงขึ้น มีเวลากับตัวเองในการเล่นเกมมากขึ้น

และเราก็ได้งานที่ใหม่อย่างรวดเร็ว แต่ขอทำเรื่องเข้างานในเดือนหน้า

เพราะยังไม่อยากเริ่มงานเร็วเกินไป อุตส่าห์ได้พักแล้ว


เรากับคนนั้นก็เริ่มมีความรู้สึกต่อกันมากสนิท

ผูกพันกันมากขึ้น เขาเข้ามาดูแลทุกอย่าง ใส่ใจทุกอย่าง

มีความสุขในทุกๆ วัน

ยิ่งอยู่ด้วย ยิ่งได้คุยด้วยยิ่งรู้สึกว่าลงตัว

เข้ากันได้ หัวเราะมีความสุข อยากทำอะไรดีๆให้กันในทุกๆวัน

อยากให้ช่วงเวลานี้อยู่ไปนานๆ มีความสุขจนกลัว

เป็นช่วงโคโรน่าที่เรามีความสุขมาก แต่เราก็ทุกข์มากไปพร้อมๆกัน

จนเสียงอีกคนในตัวเราเริ่มดังมากขึ้นอีกครั้ง

เราเริ่มนอนไม่หลับ

กินไม่ลง

เราพยายามใช้เหตุผลสงบทุกอย่างของอีกคนในตัวเรา

แต่คนนั้นก็ยังพยายามตื่นขึ้นมาแล้วพูดกับเราว่า

"ต้องเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่?"

"เมื่อไหร่จะเลิกทุกข์เสียที"

"เมื่อไหร่ที่จะเป็นสุขแบบสุขจริงๆเสียที"


เราก็รู้ทันทีว่าถึงเวลาที่เราต้องกลับไปหาหมออีกครั้ง

เราก็ไปหาหมอได้ยามาสองชนิดกินควบคู่ไป

เรารู้ตัวทุกอย่าง รู้สาเหตุทุกอย่าง

เราคุยกับหมอด้วยผู้รู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง

แต่แค่เราคุมอีกคนไม่ได้ และรู้สึกทรมาน


เราเป็นบ้าทุกครั้งที่ต้องทะเลาะกับอีกคนในตัวเอง

แต่คนนั้นก็อยู่เคียงข้างเราเสมอ

ดูแลเราทุกอย่าง มีคำพูดที่เราช่วยชีวิตเราไว้ทุกครั้ง

ทุกคำพูดและการกระทำที่อ่อนโยนมันทำให้เรายิ่งรักเขามากขึ้นไปอีก

แล้วเราก็กลัวมากขึ้นไปอีก

จนเราต้องเริ่มพูดกับเขาอีกครั้งว่า เครียร์กับแฟนเรียบร้อยรึยัง?


มิ.ย.

เป็นเดือนที่เราเป็นบ้าไปแล้วเรียบร้อย

พยายามคุมตัวเองและมีสติให้มากที่สุด

เราไล่คนนั้นกลับไปเครียร์ตัวเองและเครียร์กับแฟน

ถึงเขาจะบอกว่าไม่เจอแฟนมาสามเดือนแล้ว แล้วแฟนไม่ยอมมาเจอเพราะโควิด


แต่หากเป็นแบบนี้ต่อไปเรากลัว กลัวที่เราเองที่จะเสียใจ

เรายอมเสียใจตอนนี้ดีกว่าที่จะต้องมาเสียใจหลังจากลงลึกมากกว่านี้แล้ว

เราหักดิบไปเลยไม่ติดต่อเขาอีก

เราพยายามใช้ชีวิตเองคนเดียวแต่มันทรมานมากเหลือเกิน

ทุกเงาที่เขาเคยยืน ยิ่งทำให้เราแทบทรุดทุกครั้งที่นึกถึง

ทนเป็นบ้าไปเรื่อยๆ

เวลาแบบนี้โคตรอยากกลับไทยเลยแต่กลับไม่ได้

ต้องการการเปลี่ยนบรรยากาศ

แต่ด้วยภาวะฉุกเฉินออกจากบ้านยังไม่ได้เลย

มันอึดอัดไปหมดทุกอย่าง


แต่ยังมีเรื่องดีคือเราได้เริ่มงานที่ใหม่

บริษัทใหม่ทุกคนน่ารักมาก

บรรยากาศดี เจ้านายดี

งานสนุก การทำงานสนุกทุกวันเลย แถมได้ทำงานที่บ้าน


งานใหม่ของเราคืองานแปลเกม

เราตัดสินใจไม่เลือกสายงานเดิมเพราะสถานการณ์นี้งานเกมก็มั่นคงกว่าท่องเที่ยวแน่ๆ

และที่ผ่านมาเราก็รับงานแปลเป็นสายรอง

งานเขียนเป็นสายหลักมาตลอด

แค่สลับตำแหน่งกลับเฉยๆ ไว้รอจนวันที่พร้อมจะกลับไปก็สามารถกลับไปได้


พอช่วงปลายเดือนเราก็เป็นบ้าขึ้นไปอีก

เราที่พยายามทำใจหักดิบอีกคน

ได้รู้ว่าเขาพยายามเครียร์กับแฟนอยู่ใกล้จะจบแล้ว

เขากำลังทำทุกอย่างให้มันถูกต้องที่ควรเป็น


เราเริ่มสับสนตัวเองที่ไม่รู้ว่าควรจะต้องรู้สึกยังไง

เราไม่สงสัยในความรู้สึกของเขาที่มีต่อเรา

แต่มันระแวงกลัวไปหมดแล้ว

เราผิดเองครึ่งนึง เขาผิดครึ่งนึง


ผิดตั้งแต่รู้ว่าเขามีแฟนแต่ก็ยังแอบหวังไปเอง

แม้ว่าเขาจะไม่ได้คุยกับแฟน และห่างกับแฟนมานานแล้ว

แต่แค่ยังไม่เลิกกันอย่างเป็นทางการ

แต่เขาก็คงรักอีกคนมากพอที่จะไม่ได้บอกเลิกอย่างเป็นทางการ

แต่ก็ยังพยายามเข้าหาเรา

ปรบมือข้างเดียวมันไม่ดัง เพราะงั้น

"ถ้าเขาไม่เข้ามา"

"ถ้าเราไม่ตอบกลับ"

ความรู้สึกทุกอย่างก็คงไม่เกินเลยมาถึงขนาดนี้

ด้วยความที่เขาเป็นคนไม่ค่อยรู้ใจตัวเอง

เราคิดแทนเยอะแยะไปหมด ยิ่งเป็นบ้าไปอีก


สุดท้ายที่ได้รู้ว่าแฟนเขาบอกว่า "นึกว่าเลิกกันไปนานแล้ว เลยตั้งใจจะหายไปแบบนี้"

เรารู้สึกแบบ กูว่าแล้วไม่ผิดว่าผู้หญิงมันบอกเลิกเป็นกรายๆนานละ

คนที่รอมีแค่ผู้ชายนั่นแหละ

เราคิดถูกแล้วที่พยายามให้เขาเครียร์ก่อนค่อยกลับมาใหม่

แม้ว่าเราจะเป็นความสัมพันธ์ที่เข้าหากันโดยธรรมชาติ

เพราะมันเข้ากันได้ไปหมดเลย แต่ก็ต้องรู้อะไรควรไม่ควร


แต่ก็นึกเสียดายคนที่ต้องปล่อยมือคนที่เข้ากันได้ รับกันได้ขนาดนี้

เพราะช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมแบบนี้



ก.ค.

สุดท้ายหลังจากเราเป็นบ้าหนักขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้ายเขาก็ยอมทำตามที่เราบอก

เลิกกับแฟน และยอมห่างจากเราไปเครียร์ตัวเอง

เราแบบดีใจ โล่ง

ถึงจะเสียใจแต่ดีกว่าอยู่ทรมานแบบนี้

เราถึงเริ่มหายบ้า

แต่ก็ยังหวังลึกๆ ว่าซักวันเขาจะติดต่อกลับมาในวันที่เขาพร้อม

แต่ก็ไม่ควรหวังอยู่ดี ให้ทุกอย่างเป็นไป


เราก็คิดว่าเราจะได้กลับมาใช้ชีวิตคนเดียวอย่างมีความสุขแล้ว

แม่ก็ติดต่อมาว่ายายจะเสีย

เราก็ทำเรื่องกลับไทยแบบด่วนเลย

กลายเป็นเพิ่งมีรายได้มาครึ่งเดือน

กับขาดรายได้มาสามเดือน

มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมา 3 เท่า

วุ่นวายกับการทำเรื่องกลับไทยกับขอบริษัทหยุดงานมากๆ

มีเรื่องให้เครียดจนเบาเรื่องเสียใจไปได้

ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเรา

ได้โอกาสกลับไปพักผ่อนที่ไทยด้วย (รีวิวการทำเรื่องกลับและกักตัวอ่านหน้าที่เพจนะยาวมาก)

ขอบคุณบริษัทมากที่บอกจะรอเรากลับมา

ทำเรื่องพักงานไว้


สุดท้ายเราก็ได้กลับไทยวันที่ 22 ก.ค.

และกักตัว 14 วัน

เรารู้สึกดีที่ได้อยู่ห่างจากสถานที่ที่มีความทรงจำเขาเต็มไปหมด

ไม่ต้องเข้าครัวแล้วเห็นภาพว่าเขาทำอาหาร

ชงเครื่องดื่มให้เรา ทำกับข้าวรอเรากลับมาบ้าน

ซักผ้า ถูบ้าน ล้างครัวให้ ฮืออ พ่อบ้านมากกกก


ได้กลับมาตั้งหลัก อยู่คนเดียว14 วันเล่นเกมกับออกกำลังกายวนๆไป

หมดเดือนจ้า


ส.ค.

กักตัวเสร็จ ออกมาข้างนอกช่วงต้นเดือน

ได้รู้ว่าน.น.ลงไป4โลเพราะช่วงสองเดือนที่ผ่านมาแทบกินไรไม่ได้

แต่ออกมาแล้วก็เป็นเดือนที่เครียดมากอีกเดือน

กลับมาไทยแต่ต้องเครียดกับบรรยากาศของไทย

อุตส่าห์กลับมาแต่ก็ต้องเจอเรื่องเครียดอื่นๆ

จนแบบอยากจะกลับญี่ปุ่น นี่เรากลับมาทำไมวะ ได้แต่คิด

เสียใจนะ แต่ก็สุดท้ายก็เข้าใจกันจนได้


เคยกลับมาแบบไม่ตั้งกำแพงในใจ

ละพังกลับไปญี่ปุ่นนอนเป็นบ้าอยู่พักใหญ่ๆ กินยา คือไม่อยากเป็นแบบนั้นละ

ถึงได้หนีไปอยู่ญี่ปุ่นนะที่จริง

รอบนี้แบบตั้งตัวทัน รอดไป ก็ทนไปเรื่อยๆ


แต่ในที่สุดเราก็หยุดยาได้ในเดือนนี้

นอนได้โดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ


ลองไปหาหมอสะกดจิตครั้งแรก

เปิดโลกมากแม่ พญาไท2 นะใครอยากลองโทรไปจองได้เลย

ละทุกอย่างก็เริ่มผิดแผนเพราะสถานทูตไม่ยอมให้ข้อมูล

ทำให้เรายื่นเอกสารไม่ทันกลับ เลยต้องทิ้งตั๋วเครื่องบิน

ซื้อใหม่ และยืดเวลาเริ่มงานบริษัทออกไป

เงินเก็บที่เอามาใช้จนเกือบหมดเริ่มหมุนไม่ทัน

คือพังไปหมด ไม่เคยจนขนาดนี้มาก่อน

ทุกอย่างคือพัง ไม่มีเงินละเครียด ละโดนกดดันเรื่องเงินอีก ก็เครียดมาก

แต่ก็ยังคิดได้ว่าตราบที่ยังมีชีวิตอยู่ เงินก็ยังหาใหม่ได้ละวะ

เงินเก็บมีไว้ใช้ในเวลาแบบนี้แหละ

ไม่ทำงานครึ่งปีใช้เงินเก็บมาตลอดรอดมาได้จนตอนนี้ก็เก่งละวะ

ให้กำลังใจตัวเองไปที่เหนื่อยมาหลายปี


ก.ย.

เครียดภาคต่อจากส.ค. วุ่นกับการทำเรื่องกลับไทยมากก

เครียดแบบเครียดมาก เงินจะหมดแล้วแบบจริงจัง รูดบัตรไปก่อนล่วงหน้า

เสียค่าทำเรื่องกลับญี่ปุ่นอีกเยอะมาก


แล้วโรคประจำตัวก็กำเริบ ขยับไม่ได้นอนซม

รู้สึกช่วงหลังๆเริ่มโรคประจำตัวกำเริบบ่อยขึ้น

แก่แล้วสินะ แฮร่ ทานอาหารเสริมแก้อาการไปเป็นพักๆ

จนในที่สุดก็ได้กลับญี่ปุ่น

เราก็คิดนะว่าคิดถูกแล้วที่กลับมาไทย มาเปลี่ยนบรรยากาศ

มาหาแม่ครอบครัว และเพื่อนๆ ทุกคน

ได้กลับมาคิดอะไรมุมกว้างมากขึ้นอีกครั้ง

ปลงชีวิตมากขึ้น

อยากใช้ชีวิตคนเดียวมากขึ้น

ไม่อยากพึ่งพาใครมากขึ้นไปอีก

เวลาจะเจ็บป่วยหรือไรเราก็ไม่ต้องเหงา ต้องเศร้าอะไร ตัวคนเดียวสบายที่สุดจริงๆ


แต่ก็ยังจำได้อีกนะว่าเดือนนี้วันเกิดคนนั้น

เป็นที่ปี3ที่รู้จักกันแต่ทักกันไม่ได้ ตามที่สัญญากันไว้ว่าจะไม่คุยกันจนกว่าจะเครียร์ตัวเองเสร็จ


กลับมาญี่ปุ่นนอนกักตัวอยู่บ้านอีกครึ่งเดือน

ตอนกลับมาถึงบ้านเราเครียดมาก

เพราะเรื่องประกัน ภาษี ทำเรื่องรับเงินคนตกงานที่เราทำค้างไว้ก่อนกลับไทย

มันมาตูมเดียวกันหมดเลย

กับบัตรเครดิตที่ไม่ยอมหักเงินในบัญชี จนโดนอาญัติ

ใบแจ้งหนี้เยอะมาก แบบ OMG จุดตกต่ำชีวิตมากกก

แต่ก็ค่อยๆใจเย็นๆเครียร์ทีละอย่างไป


ต.ค.

กลับมาเริ่มงานที่บริษัทเก่า

รู้สึกขอบคุณบริษัทมากที่รอเรากลับมา

พระคุณนี้ไม่รู้จะขอบคุณยังไง เพราะช่วงเวลานี้ให้หางานใหม่ก็คงยาก

เพราะโคโรน่าทำให้งานคนต่างชาติลดเหลือน้อยลงมากๆ

ขนาดคนญี่ปุ่นเองยังตกงานเลย

จะมีงานให้ต่างด้าวแบบเราหรอ


ทุกอย่างเริ่มกลับมาลงตัว

เราให้เวลากับตัวเองเต็มที่จากที่ไม่ได้อยู่คนเดียวมานานช่วงที่อยู่ไทย

เริ่มรีเซ็ทตัวเองได้ เริ่มกลับมาแฮปปี้ที่สุดในรอบปี


มีบ้างที่ยังนึกถึงเขา

ลองนึกว่าเจอกันคราวหน้าควรทักกันด้วยคำพูดว่าอะไร

จะมีสถานการณ์อะไรที่ทำให้เรากลับมาคุยกันได้ ดูจะเป็นไปไม่ได้เลย

เพราะสิ่งที่เราเคยมีจุดเชื่อมกันไว้เราตัดมันออกไปทั้งหมดแล้ว


พอเริ่มหายเครียดก็ผิวดีขึ้นจนทุกคนทัก

สกินแคร์ก็ใช้ที่ถูกกับผิว ในราคาไม่แพง อ่อนโยนต่อผิว

(อัพอยู่ในไอจีนะ)


พ.ย.

พอเข้าเดือนนี้เราแฮปปี้มาก อยู่ๆก็แฮปปี้มีเรื่องดีๆเข้ามา

งานที่บริษัทเก่ามาขอจ้างต่อเป็นฟรีแลนส์

งานจิปาทะ ฟรีแลนส์เริ่มกลับมา

มีงานเข้ามาเป็นจ็อบๆเรื่อยๆ

ได้เงินประกันคนตกงานมาชดใช้หนี้ส่วนที่จ่ายไปตอนกลับไทย

งานบริษัทก็ไปได้ดี ทำงานสนุก ใช้ชีวิตสนุก

ได้ทำงานที่บ้าน ใช้ชีวิตส่วนตัวเต็มที่

เหมือนเป้าหมายชีวิตที่เคยตั้งไว้เลย ทำงานที่บ้าน

ตื่นมาตอกบัตรเลย ง่วงก็งีบได้ ทำงานตอนง่วงละงานออกมาไม่ดี

ก็จัดสรรเวลาตัวเองให้ดี ว่างก็ทำงานบ้านได้ ทำกับข้าวได้

เหมือนฝันเป็นจริงงงงง


นอกจากนี้ก็พยายามหาเพื่อนใหม่ๆ เจอคนใหม่ๆ เปิดโลก

ได้มีความรู้สึกกรุบกริบกับคนใหม่ๆอยู่บ้าง

แต่สุดท้ายก็รู้ตัวเองว่ายังลืมคนเก่าไม่ได้

ยังคิดถึงอยู่ทุกวัน ก็พยายามมูฟต่อไปค่ะะะ




ธ.ค.

เดือนนี้ยุ่งแบบงงๆ

เริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติแล้ว

งานบริษัทยุ่งมากกกก

คนที่ไม่ทำโอทีแบบเรา ทำโอทีเยอะที่สุดในชีวิต

ไม่มีเวลาไปเจอใครเลย

แต่งานก็สนุกมากไม่เครียด แฮปปี้ไลฟ์สุดๆ


จบปีด้วยการไข้ขึ้นจนถึงปีใหม่ เย้~

หมดไข้นี้แล้วคงจะมีเรื่องดีๆตามมาแน่ๆ :D


นอกจากนี้มีรายละเอียดยิบๆย่อยๆที่เขียนไม่ได้อีกเยอะ


สิ่งที่ได้เรียนรู้จากปีนี้มีเยอะมากจนสรุปได้ไม่หมด

มีทั้งสิ่งที่สรุปได้และสรุปไม่ได้

ที่เครียร์ได้เครียร์หมดแล้ว


มีทั้งความสัมพันธ์ที่ควรจบและควรไปต่อ

อะไรที่มองไม่เห็นอนาคตอย่าเสียเวลากับมัน

เลือกทางที่ดีที่สุดระหว่างเขาและเรา


แม้จะเริ่มปีใหม่ด้วยการป่วย

แต่ใจเราไม่ทุกข์ ก็มีความสุขแล้ว :D


บันถึงรายปีของเราจบแล้วจ้า

ขอบคุณเพื่อนทุกคนที่อยู่เคียงข้างเราตอนเราเป็นบ้า

มาเยี่ยม มาอยู่ด้วย มาเฝ้า ทักมาถามไถ่ เอาข้าวมาให้กิน ชวนไปเที่ยว

คอยให้คำปรึกษา

ขอบคุณทุกคนจนไม่รู้จะตอบแทนยังไง




ปีนี้เป็นปีที่เราใช้เงินเยอะที่สุด

แต่รายได้น้อยที่สุด

เป็นปีที่กินยานานที่สุด

ทำโอทีเยอะที่สุด

ว่างงานนานที่สุด

กังวลเรื่องเงินมากที่สุด

ได้กินเหล่าอร่อยๆเยอะที่สุด

มีเรื่องเซอร์ไพรส์เยอะที่สุด

ได้ลองใช้ชีวิตกับคนที่เข้ากันได้ มีความสุขมากที่สุดเลย

ขอบคุณที่สอนเราเก็บวัตถุดิบ

ทำความสะอาด

วิธีทานเหล้าอร่อยๆ

ได้รู้ว่าการใช้ชีวิตร่วมทุกข์ ร่วมสุขใครซักคนมันมีความสุขขนาดนี้


ถึงจะมีอะไรที่ไม่สมหวังไปบ้าง

ทุกอย่างก็สอนเราเสมอให้เราระวังในวันข้างหน้ามากขึ้น

ถึงตอนนี้จะไม่รู้สึกอะไรเหมือนที่เคยรู้สึก

จะเรียกว่าด้านชาหรือเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วก็ไม่รู้

ปีหน้าเราต้องเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้


แฮปปี้นิวเยียร์ค่า :)


————————————

————————————


閲覧数:227回0件のコメント

Comments


bottom of page