top of page
  • 執筆者の写真SHIF

KAROSHI (過労死)การทำงานหนักจนเสียชีวิต




KAROSHI (過労死)

การทำงานหนักจนเสียชีวิตของชาวญี่ปุ่น

นำพาไปสู่การปฏิวัติระบบการทำงานของญี่ปุ่นในปัจจุบัน


เป็นที่รู้จักกันดีว่าประเทศญี่ปุ่นมีประชากรที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายเป็นอันดับต้นๆ แต่นอกเหนือจากการฆ่าตัวตายแล้วยังมีการที่ทำงานหนักจนเสียชีวิตด้วย

ในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับคำว่า Karoshi(過労死) ที่มีความหมายว่า

"การเสียชีวิตจากการทำงานหนัก"


KAROSHI(過労死)

หมายถึง การทำงานหนักเกินกว่าชม.ทำงานที่กำหนด หรือเกินกว่าที่ร่างกายทนไหว

ขาดการพักผ่อนที่เพียงพอจนทำให้เส้นเลือดในสมองตีบหรือเส้นเลือดในสมองแตก

ก่อให้เกิดอาการปวดหัว มือเท้าชา จนก่อให้เกิดการเสียชีวิตฉับพลัน หรือในบางรายนั้นมีอาการซึมเศร้า เครียดและฆ่าตัวตายในที่สุด



"ในภาษาอังกฤษมีการบันทึกคำว่า KAROSHI ลงในพจนานุกรม เป็นคำที่ใช้กันในทั่วโลก"



อาการของ KAROSHI

ก่อนเสียชีวิตนั้นจะมีอาการปวดหัว วิงเวียนศีรษะและคลื่นไส้ เป็นอาการที่ร่างกายกำลังบอกกำลังฝืนตัวเองอยู่

แต่ตัวเองบอกว่า “ยังไหวอยู่” ฝืนต่อไปเรื่อยๆจนเสียชีวิตในที่สุด


ลักษณะอาการเสียชีวิต 4 รูปแบบที่นับเป็นการเสียชีวิตจากการทำงานหนัก โรคหัวใจ

ทำงานหนักจนเกิดความผิดปกติที่หัวใจจนถึงแก่ความตาย อาการ: ใจเต้นแรง ล้าที่แขนข้างซ้าย รู้สึกแปลกๆจากช่องท้องลามขึ้นมา

เมื่อรู้สึกตื่นเต้นหรือกังวลจะรู้สึกร้อนที่อกจนทนแทบไม่ไหว

เส้นเลือดในสมองแตก

เป็นหนึ่งอาการที่ทำงานหนักจนเกิดความผิดปกติในสมอง เส้นเลือดในสมองแตกและเสียชีวิต อาการ: เวียนหัวจนรู้สึกเดินตรงๆไม่ได้, บางทีฟังจับใจความไม่ค่อยได้ ไม่มีสมาธิ, อยู่ๆก็หมดแรงทำของหล่นบ่อยๆ, บางทีตาลาย ตาพร่าเห็นภาพซ้อนกัน

ทำงานหนักจนฆ่าตัวตาย

ทำงานหนักและมีอาการเครียดจนมีปัญหาทางสภาพจิตใจ จนท้ายที่สุดทรมานจนฆ่าตัวตาย อาการ: ร่างกายอ่อนล้าไม่มีแรง เหนื่อยง่าย ทำอะไรก็รู้สึกไม่สนุกเหมือนเดิม มีอาการซึมเศร้า ขาดแรงจูงใจ

ทำงานหนักนอนไม่เพียงพอ

จนเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น เกิดอาการหลับในระหว่างขับรถจนเกิดอุบัติเหตุ หรือแช่น้ำร้อนในอ่างที่บ้านแล้วหลับจมน้ำเสียชีวิต อาการ : ตามที่กล่าวข้างต้น


หากเปรียบเทียบการทำงานกับรถแล้ว KAROSHI นั้นเปรียบเสมือนเรากำลังใช้ร่างกายเราอย่างเต็ม MAX เหมือนกับรถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ไม่มีการบำรุงรักษาสภาพของรถยนต์ แต่พวกเขาไม่รู้สึกตัวและยังคงวิ่งต่อ ยังคงบอกตัวเองว่า “ยังไหวอยู่” จนในที่สุดก็พังลง




แต่ทำไมบางคนส่วนถึงเลือกที่จะปลิดชีพตัวเอง

แทนการลาออกจากงาน

หลายคนอาจคิดว่าทำไมต้องทำขนาดนั้น? ไม่เห็นต้องฆ่าตัวตายเลย ก็ลาออกจากงานก็ได้นี่นา?


เหตุผล: ผู้ที่ทำงานจนเสียชีวิตหลายคนนั้นเป็นผู้ที่มีลักษณะนิสัย ความรับผิดชอบสูง แบกรับภาระมากเกินไปจนเกิดอาการซึมเศร้าจนควบคุมและตัดสินใจไม่ได้ หากไม่ได้อยู่ในจุดเดียวกับพวกเขาไม่มีวันที่จะเข้าใจอย่างแน่นอน

หากมีคนรอบข้างที่เป็นโรคซึมเศร้าอยู่อย่าตอกย้ำพวกเขาด้วยการบอกว่า

“ทำไมไม่ทำแบบนี้ล่ะ?” ยิ่งเป็นการทำร้ายจิตใจของพวกเขา คนปกติทั่วไปไม่มีทางเข้าใจหากไม่ได้อยู่ในจุดนั้น




ทำOTเกินกี่ชม.ถึงเรียกว่าอันตราย?

โดยวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นนั้นพนักงานจะต้องทำงานล่วงเวลาหรือทำ OT นั่นเอง

บริษัทที่ก่อตั้งมานานหลายบริษัท หรือผู้บริหารคนรุ่นเก่ายังคงวัฒนธรรมนี้ไว้ จากข่าวเกี่ยวกับ KAROSHI ในประเทศญี่ปุ่นตลอดช่วงเวลาที่ผ่านทำให้ทราบตัวเลขที่ชัดเจนมากขึ้นถึงขีดจำกัดของจำนวนการทำงานล่วงเวลา โดยส่วนมากผู้เสียชีวิตทำงานล่วงเวลาถึง 80-100 ชม.ต่อเดือน


ทำไมถึง80-100ชม.?

นั่นก็เพราะว่าร่างกายของมนุษย์ที่ควรพักผ่อนต่อวันนั้นคือ 6-8 ชั่วโมง หากพักผ่อนน้อยกว่า 6 ชม.เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และระบบในสมองผิดปกติจะเพิ่มขึ้น ผู้ที่นอนไม่ถึง 5 ชม.ต่อวันคาดการณ์ได้ว่าทำงานล่วงเวลา 80-100 ชม.ต่อเดือน และมีความเสี่ยงการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น





ปฏิวัติการทำงานของญี่ปุ่น

เรามักพบเห็นข่าวการเสียชีวิตจากการทำงานหนักในญี่ปุ่นอยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมาหลายปี สังคมเริ่มมีการประนามบริษัทที่ให้พนักงานทำงานหนักจนเสียชีวิต บริษัทใหญ่ๆส่วนใหญ่จึงเริ่มมีการไล่พนักงานกลับ ให้พนักงานกลับตรงเวลา ไม่ให้ทำ OT


ในปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น กฎหมายบังคับให้ผู้คนทำงานน้อยลง

ถึงชาวไทยผู้ที่ขยันทำงานทุกคนด้วยเช่นกัน ทำงานหลักและทำงานนอกควบคู่ เสาร์อาทิตย์ก็นั่งทำงาน ความขยันเป็นสิ่งที่ดีแต่อย่าลืมคุยกับตัวเองด้วยนะคะ สิ่งของยังสามารถซื้อเปลี่ยนใหม่ได้ แต่ร่างกายของเรานั้นไม่สามารถเปลี่ยนทดแทนได้


by IKIDANE NIPPON


----------------------

---------------------



閲覧数:29回0件のコメント
bottom of page